วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559

[Review] The POREfessional: Matte Rescue Gel

หน้ามันทำยังไงก็ไม่หายมัน ความทุกข์ที่คนหน้าแป้งไม่มีวันเข้าใจ ไอ้เราก็หน้ามันมานาน ทำยังไงใครว่าอะไรดีใช้แล้วหน้าไม่มัน มันไม่เคยได้ผลกะเรา ทุกผลิตภัณฑ์ที่จะมาอยู่บนหน้าทุกตัวต้องมีคุณสมบัติควบคุมความมัน ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะได้มาอยู่บนหน้าชั้นเลย ฮ่าๆๆ


BENEFIT the POREfessional matte rescue บอกลาความมันส่วนเกินไปได้เลย! กับสุดยอดเจลดูดซับความมัน ใหม่ล่าสุด! ด้วยเนื้อสัมผัสบางเบาใช้เป็นขั้นตอนแรกของการแต่งหน้าก่อนลงไพร์เมอร์และ รองพื้นให้ผิวสวยเป๊ะ หมดกังวลเรื่องความมันระหว่างวันไปได้เลย! --คำเคลมของแบรนด์

The POREfessional: Matte Rescue Gel เค้าก็ว่าคุมมัน ค้นคว้าวิจัยทดสอบทดลองกันมามาก วันหลังต้องให้เราทดลองบ้าง ว่าจะได้ผลจริงมั๊ย ว่าละ ก็เลยไปจัดมาค่ะ อันนี้จริงๆ ก็ใช้มาตั้งแต่ต้นๆ ปีละ แต่ไม่มีเวลาได้รีวิวอะไรเลย เรียนป.โท อย่างเดียว ขนาดปิดเทอม นะ ป.โทนิด้านี่เค้าปิดกันอาทิตย์เดียวนะคะ คือหยุด 1 เสาร์แล้วสัปดาห์ถัดมาก็เปิดเรียนภาคต่อไปเลย Non Stop เลยค่ะ

กลับมาๆ เข้าเรื่องกันดีกว่า  The POREfessional: Matte Rescue Gel ตัวนี้ถึงกลับใช้คำว่า Super Mattifying Gel กันเลยทีเดียว หลังจากทดลองใช้แล้ว พบว่า ควบคุมความมันได้ดีค่ะ ช่วงบ่ายๆ ก็จะต้องซับหน้ามันบ้าง เนื่องจากแป้งที่ทาไว้เมื่อตอนเช้าเริ่มหลุดจากหน้าไป จากการลำบางตรากตรำทำงาน เดินทางบ้าง วันไหนออกแดด นี่บ่ายๆ ก็เอาไม่อยู่ค่ะ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทาอะไรเลยนะ เราว่า

ความรู้สึกเปรียบเทียบระหว่างวันที่ใช้ กับไม่ใช้ ก็ถ้าวันไหนใช้หน้าจะมันน้อยกว่า และมันช้ากว่าวันที่ไม่ได้ใช้นะ อยู่ที่รองพื้นด้วย อย่างวันไหนอยากให้หน้าเปะมากๆ ก็จะใช้ทั้ง 2 ตัวเลย ทั้สูตรเจลและสูตรซิลีโคน โดยส่วนตัวเรา ถ้าใช้ทั้ง 2 ตัวจะลงตัวเจลก่อนค่ะ

เนื้อสัมผัส : เป็นเนื้อเจล เราชอบเนื้อเจลมากกว่าตัวเนื้อซิลิโคนนะ
กลิ่น : มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ปริมาณ : 50ml.
ราคา : 1,100.- บาท

Ingredient
AQUA, GLYCERIN, PROPANEDIOL, SILICA, DIMETHICONE, BUTYLENE GLYCOL, FOMES OFFICINALIS (MUSHROOM) EXTRACT, ALCOHOL, METHYL TRIMETHICONE, PENTYLENE GLYCOL, POLYMETHYLSILSESQUIOXANE, PEG-60 HYDROGENATED CASTOR OIL, PHENOXYETHANOL, DIMETHICONE/VINYL DIMETHICONE CROSSPOLYMER, ACRYLATES/C10-30 ALKYL ACRYLATE CROSSPOLYMER, PARFUM, SODIUM HYDROXIDE, TETRASODIUM EDTA, SODIUM HYALURONATE, LIMONENE, PEG-40 HYDROGENATED CASTOR OIL, DIAMOND POWDER, CI 42090 (BLUE 1), CI 19140 (YELLOW 5), BHT, TOCOPHEROL. N 09157/E


[Review] Hourglass Ambient Lighting Palette

Hourglass Ambient Lighting Palette พูดถึงพาเลทตัวนี้ใครๆ ก็คงจะมีหมดแล้ว หรือใครยังไม่มีก็คงจะกำลังคิดว่าควรจะมีมั๊ย เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่จดๆ จ้องๆ อยู่นานมาก คิดแล้วคิดอีกว่าควรมั๊ย เนื่องจากว่ามัน Out of stock ที่ Sephora บ่อยมากๆ แทบจะตลอดเวลา

และแล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อเฟสบุ๊คของเราได้เด้งมาบอกว่า เจ้าตัวนี้กลับมาแล้วนะจ๊ะ จะซื้อมั๊ย จะซื้อไม่ซื้อ เดี๋ยวหมดน้าาาาา เราก็ อืม ... เดี๋ยวนะ เดี๋ยวค่อยซื้อก็ได้ คงมีเยอะ (ก็ปล่อยไป) 3-4 วันต่อมาก็แวะเวียนเข้าไปเยี่ยมเยียนเจ้าตัวนี้อีก แต่! มันหมดอีกแล้วเจ้าค่ะ อะไรจะฮ๊อทปานนั้น

สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ก็รอไปค่ะ รอไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็มาเอง ระหว่างนั้นก็แวะไปเยี่ยมชมเว็บไซท์ Sephora เรื่อยๆ ใครจะเป็นอย่างเรามั๊ยคะ

มาแล้วค่ะ คนนี้ที่รอคอย คราวนี้ไม่ให้พลาด จัดมาแล้ว ฮ่าๆๆ

ด้านหลังค่ะ ดูมันทุกมุมเลยจะได้คุ้มๆ 

 ด้านในค่ะ เลอะหน่อย ใช้มาหลายเดือนแล้ว

Hourglass Ambient Lighting Palette
  • Dim light: แป้งสีพีช-น้ำตาลอ่อนช่วยให้หน้าแลดูเปล่งประกายโดยไม่ทำให้ผิวหน้าเข้มหรือ สว่างจนเกินไป สามารถใช้เป็น setting power ได้  เราจะใช้สีนี้ในการสร้างกรอบหน้า แบบปัดแนวๆ กราม เพื่อให้หน้าดูเรียว สีพอดีค่ะ ไม่เข้มและไม่อ่อนเกินไป ไม่มีชิมเมอร์
  • Incadescent Light: แป้งสีขาว-น้ำตาลอ่อนผสมซิมเมอร์เล็กน้อย ใช้เป็นไฮไลท์ลงบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก สีนี้เราไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ แบบหน้าเรามันอยู่แล้วกลัว แวววาวอยู่แล้ว
  • Radiant Light: แป้งสีบรอนซ์ทองใช้เป็นบลัชเพื่อผิวแบบ sun-kissed look สามารถใช้เป็นบรอนเซอร์ได้ เหมาะกับทั้งกลางวันและกลางคืน  ตัวนี้เราใช้ปัดที่หน้าผากแนวไรผมค่ะ
Ingredient
Mica, Synthetic Fluorphlogopite, Boron Nitride, Hdi/Trimethylol Hexyllactone Crosspolymer, Polymethyl Methacrylate, Silica, Octyldodecanol, Benzimidazole Diamond Amidoethyl Urea Carbamoyl Propyl Polymethylsilsesquioxane, Sorbitan Sesquioleate,Magnesium Aluminum Silicate, Phenoxyethanol, Dimethicone, Sodium Dehydroacetate, Sorbic Acid, Polyacrylamide, Benzoic Acid, C13-14 Isoparaffin, Potassium Sorbate, Dehydroacetic Acid, Laureth-7, Ethylhexylglycerin, Trimethylsiloxysilicate. May Contain: Titanium Dioxide (CI 77891), Bismuth Oxychloride (CI 77163), Iron Oxide (CI 77491), Iron Oxide (CI 77492), Iron Oxide (CI 77499), Red 7 Lake (CI 15850)

[Review] SK-II R.N.A. Power Radical New Age


SK-II R.N.A. Power Radical New Age ใหม่ R.N.A.POWER เพื่ออีกระดับของผิวกระชับ ด้วยสุดยอดประสิทธิภาพที่ตรงเข้าเพิ่มความชุ่มชื่นอย่างล้ำลึก เพื่อความกระชับในทุกองศา ให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่น เปล่งประกาย แลดูกระชับ หลังใช้เพียง 10 วัน* --SK-II website  (คำเคลมของแบรนด)

SK-II R.N.A. Power นี้ออกวางจำหน่ายมาได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ (ว่าไปก็เกือบๆ ปีแล้วมั๊ง) ตัวนี้ออกมาแทนตัวเก่า เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงสูตรกัน เราเองก็เพิ่งจะใช้เจ้าตัวเก่า SK-II Essential Power หมด จึงได้ไปถอยตัวสูตรใหม่นี้มา จริงๆ แล้วตัวเก่านี่เราก็ว่าดีมากอยู่แล้วนะ เพราะใช้ตอนกลางคืนเช้ามาก็จะเห็นผลได้ชัดเลยว่าผิวหน้าดีขึ้นมาก ทั้งในด้านความชุ่มชื่นแล้วริ้วรอย

SK-II R.N.A. Power นี้ขนาดเท่ากันกับตัวเก่าค่ะ ที่ 80g. ใช้กันจนลืมก็แล้วกัน ตัวเก่าเราใช้ปีนึงพอดี แต่ไม่ได้ใช้ทุกวัน ใช้สลับกับตัวอื่นๆ บ้างเวลาที่ทดลองใช้แบรนด์อื่นๆ

เปรียบเทียบกันค่ะ ระหว่างตัวเก่ากับตัวใหม่


เนื้อครีมค่ะ จริงๆ อยากเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างตัวเก่ากับตัวใหม่ แต่ตัวเก่าหมด ฮ่าๆๆ

เนื้อสัมผัส : เป็นเนื้อครีมเข้มข้นค่ะ แต่ยังไม่เท่าตัวริชครีม
กลิ่น : กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนจะแรงกว่าตัวเดิมนิดหน่อย
ความมัน : ทาแต่น้อยๆ ถ้าเป็นตอนเช้า ตัวครีมทาแล้วไม่ได้เพิ่มความมัน แต่ถ้าใครหน้ามันอยู่แล้ว ก็ใช่แต่น้อยละกันนะคะ ส่วนตัวเราใช้ตัวนี้ในตอนกลางคืน เลยไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้เพราะโบ๊ะอยู่แล้ว ฮ่าๆ
ความชุ่มชื่น : ให้ความชุ่มชื้นสุดๆ เนื่องจากตัวครีมเน้นเรื่องการลดเลือนริ้วรอย ฉะนั้นตัวครีมนี่จะให้ความชุ่มชื่นแบบจัดเต็มค่ะ

ราคา : 5,990.- (ราคาขึ้นได้ทุกปีค่ะ) ซื้อตอนลดราคา หรือช่วงปีใหม่หรืองาน VIP จะได้ส่วนลดและของแถมเยอะ คำนวณๆ ดูให้คุ้มค่าค่ะ 

ใช้ต่อมั๊ย : อันนี้เห็นๆ อยู่แล้วว่าขวดเก่าหมด และเพิ่งซื้ออันใหม่มา ใช้ต่ออยู่แล้วคร้าาาา

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

[Review] แป้งศรีจันทร์ - Srichand Translucent Powder

สวัสดีค่ะ ไม่ได้รีวิวอะไรซะนาน จริงๆ สำหรับแป้งศรีจันทร์ที่จะรีวิววันนี้ ก็ซื้อมานานแล้วเหมือนกันค่ะ ใช้ไปก็จะครึ่งกระปุกได้แล้วมั๊ง วันนี้ได้ฤกษ์ดีขยันหน่อย จับมารีวิวซะเลย สำหรับรูปก็ถ่ายไว้ตั้งแต่ซื้อมานั่นแหละค่ะ

รุ่นที่ซื้อมาก็จะเป็น  Srichand Translucent Powder สำหรับผิวมันค่ะ

หน้าตากล่องก็เป็นเอกลักษณ์ของเค้าแหละค่ะ โดยส่วนตัวแล้วก็ดูดีสไตล์วินเทจ สวยค่ะ


 แกะกล่องออกมาได้อะไรบ้างตามไปดูค่ะ

พอแกะกล่องออกมาก็จะเจอแผ่นพับแนะนำวิธีใช้ 555 ปกติเราก็ไม่ค่อยได้อ่านแผ่นอะไรพวกนี้เท่าไหร่ เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษ แต่นี่ของคนไทยคร้า น่าสนใจมาก ด้านในก็แนะนำวิธีใช้แบบต่างๆ ไว้ด้วย

มีแนะนำให้ใช้ผสมน้ำมาส์กหน้าด้วยนะคะ แต่เรายังไม่ได้ลอง ไว้ลองแล้วจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะคะ


นี่ค่ะ ตัวนางเอกของเราวันนี้ ขนาด 10g. ราคา 280 บาท แต่เราไปซื้อที่ Eve and Boy มาก็ถูกกว่านี้นิดหน่อย + ได้ของแถมเป็นตลับเล็กๆ จิ๋วๆ ด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู

ด้านหลังก็มีวันเดือนปีผลิต และส่วนผสม ได้ข่าวว่าตั้งแต่เปลี่ยน Packaging นี่เค้าผลิตไม่ทันเลยทีเดียว ก็แสดงความยินดีกับเค้าด้วยนะคะ อยากให้ขายดิบขายดี ยิ่งๆ ขึ้นไป สนับสนุนคนไทยค่ะ

ดูด้านข้างค่ะ ขนาด 10g. ราคานี้ถ้าเทียบกับแบรนด์ดังๆ ราคาก็น้องๆ อยู่นะคะ จะว่าแพงก็ไม่แพง จะว่าถูกก็ไม่ถูกเท่าไหร่ค่ะ ก็ต้องมาดูที่ประสิทธิภาพกันแล้วค่ะ ว่าจะสู้แบรนด์ดังๆ ได้หรือเปล่า

เปิดฝาด้านในมา เก๋ค่ะ พัฟก็ดูดี แต่ชอบตรงฝาด้านในค่ะ

ตรงนี้สามารถหมุนได้นะคะ สำหรับล็อกไม่ให้แป้งหกออกมา เวลาจะใช้ก็บิดให้ตรงช่อง แล้วเทแป้งออกมา เก๋มากๆ ค่ะ  Innovation มากค่ะ ยังไม่เคยเจอในแป้งแบรนด์ไหนๆ เลยค่ะ ตรงนี้ชอบมากค่ะ เข้าใจผู้บริโภคมากค่ะ เอาค่ะแนนไป 10/10 เลยค่ะ 

สำหรับผลการใช้นะคะ  ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าเราใช้แป้งของ Laura Mercier อยู่ก็เลยจะขอเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ใช้เทียบกับ Laura Mercier แล้วกันนะคะ

สาเหตุการซื้อ
ก่อนอื่นต้องขอเล่าว่าเราเป็นคนที่ใช้แป้งเปลืองมากๆ ปกติ  Laura Mercier กระปุกนึงจะใช้ประมาณ 2-3 เดือน ที่ลองไปซื้อศรีจันทร์มาก็เพราะว่า ถ้าใช้ดีก็จะได้ใช้ศรีจันทร์แทนซะ เพราะถูกกว่า แค่นี้ค่ะ

สภาพผิว
เป็นคนผิวผสม คือ หน้ามัน ถึงมันมาก (ไม่ใช้ธรรมดา ถึงมันนะ 555)

วิธีใช้
เราไม่ได้ใช้พัฟที่ให้มาค่ะ เพราะไม่ถนัด ปกติเวลาใช้จะเทแป้งลงบนฝา แล้วใช้แปรงปัดๆ เกลี่ยๆ ให้ทั่วหน้า คือใช้เซ็ทหน้าหลังลงกันแดด และรองพื้นแล้ว 

ผลการใช้
1. ความละเอียดของเนื้อแป้ง เนื้อแป้งถือว่าละเอียดดีค่ะ แต่ถ้าเทียบกับ Laura Mercier แล้วยังสู้ไม่ได้ค่ะ เนื้อเค้าละเอียดมากจริงๆ
2. เรื่องคุมมันถือว่าดี พอๆ กันค่ะ ทาออกมาแล้วหน้าเนียนเลย ซับหน้าน้อยลงจริงๆ อย่างที่เค้าว่ากัน แต่พอตกเที่ยงๆ บ่ายๆ ก็จะมีจมูกมันๆ บ้าง ก็ต้องซับๆ หน่อยค่ะ
3. เรื่องสี จริงๆ รุ่นที่ซื้อมาเป็น Translucent Powder นะคะ แต่พอทาแล้วก็แอบมีขาวนิดๆ แต่ไม่ได้ขาวมาก หรือเพราะเราก็ขาวอยู่แล้ว เรื่องนี้คงต้องลองเองนะคะ ส่วนตัวเราถือว่าโอเคอยู่ เพราะเราจะตามด้วยแป้งผสมรองพื้นอีกที

สรุป
ซื้อต่อมั๊ย : ซื้อค่ะ ใช้สลับกันกับ Laura Mercier

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

[Review] น้ำหอม Dior Addict Eau Delice ขวดแดง

หากจะพูดถึงน้ำหอมของ Dior สำหรับผู้หญิง คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Dior Addict 2 ขวดสีชมพู อันเลื่องชื่อ ติดอันดับ Top 10 ตลอดกาล แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง Dior Addict Eau Delice ตัวใหม่ที่ออกมาเมื่อปี 2013 กัน ซึ่งตัวนี้เราซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว (2014) ตอนไปฮ่องกง ซึ่งก็ตั้งใจจะซื้อ Dior Addict 2 ที่ปกติก็ใช้กลิ่นนี้อยู่แล้ว
แล้วทำไม อะไร ที่ทำให้เราไปซื้อเจ้าตัวนี้มา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นตัวโปรดตลอดกาลไปแล้ว คือ อยากจะบอกว่า Dior Addict 2 กลิ่นมันออกแนวหวานๆ ไปหน่อย ไม่ค่อยจะใช่แนวเจ้ เท่าไหร่เลยสองจิตสองใจ ซื้อดี ไม่ซื้อดี แล้วก็ดมๆ ไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งไอ้เจ้า Dior Addict 2 ก็หายากซะด้วย เพราะส่วนใหญ่จะหมด ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน เกือบจะไม่ได้ซื้อละ

และแล้ววันกลับ ก็เดินเล่นอยู่ Duty Free ก็ไปถาม Dior Addict 2 อีกล่ะ แต่หมดเจ้าค่ะ แต่มีกลิ่นนี้ซึ่งพอแค่ได้กลิ่นเท่านั้นแหละ โอ้แม่เจ้า! มันใช่อะ กลิ่นนี้ใช้เลย ที่ตามหามาทั้งชีวิต (ออกแนวเวอร์ละ) จะไม่เปลี่ยนใจไปไหนละ 555


Dior Addict Eau Delice  ตัวนี้เป็นน้ำหอมแนว FRUITY-FLORAL จะทำให้คุณสดชื่นไปกับกลิ่นหอมของผลไม้และดอกไม้นานาชนิด ทั้งกลิ่นหอมของผลไม้สีแดงอย่าง CRANBERRY, มะลิ, กระดังงา, มัสค์



สุดท้ายเลยได้เจ้าตัวนี้มาครอง หอมมาก อยากให้คอมพิวเตอร์ส่งกลิ่นได้ จะได้ไม่ต้องบรรยายว่ามันหอมยังไง คือ หวานซ่อนเปรี้ยวนิดๆ ออกแนว มั่นหน่อยๆ อะไรงี้ (งานมะโนรึเปล่า) ส่วนราคาก็จำไม่ได้แล้วค่ะ 100ml. ก็น่าจะราวๆ 2,000-3,000.- ประมาณนั้นมั๊ง